WooCommerce และ Magento ถือได้ว่าเป็น 2 Platform ที่มีคนเปรียบเทียบกันมากที่สุด ด้วยความสามารถที่สูสีกัน และ เป็นที่นิยมในตลาดเป็นอย่างมาก ด้วย Feature ที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ อันทรงพลัง ที่ถือเป็นอาวุธที่จะช่วยคุณทำธุรกิจได้เป็นอย่างดี
Feature | WooCommerce | Magento |
ค่าใช้จ่าย | ฟรี | ฟรี |
บริการ Hosting | ไม่มี | ไม่มี |
รองรับสินค้าได้ไม่จำกัด | ใช่ | ใช่ |
Extension และ Plug-in | มี | มี |
ปรับตกแต่งได้เอง | ใช่ | ใช่ |
ระบบการวิเคราะห์ | มี (เป็น Extensions) | มี (โดยตรง) |
เหมาะสำหรับมือใหม่ | ใช่ | ไม่ใช่ |
มีเอกสารคู่มือมากพอหรือไม่ | มี | มี |
จากตารางด้านบนหลายๆ ท่านอาจพอจะมีคำตอบในใจกันบ้างแล้ว ว่าจะเลือก Platform ใด แต่เพื่อตอกย้ำความมั่นใจของคุณ เราจะอธิบายรายละเอียดทั้งหมดที่คุณควรจะต้องรู้เกี่ยวกับทั้ง 2 Platform
WooCommerce
เป็นที่คุ้นเคยกันดีสำหรับผู้ใช้ WordPress ในฐานะ Platform E – Commerce สุดฮิตที่ได้รับความนิยมนี้ มีพร้อมเกือบทุกฟังก์ชันการทำงาน ที่คุณต้องการในการเปิดร้านค้าออนไลน์ แถมยังมีความสามารถขั้นสูงหลายอย่าง ผ่านระบบ Extension
ฟีเจอร์หลัก:
- รองรับสินค้าได้ไม่จำกัด
- มาพร้อมกับระบบ Extension ที่มีประสิทธิภาพในรูปแบบของ Plug-in บน WordPress
- ช่วยให้คุณสามารถ เลือกตัวประมวลผลการชำระเงิน ที่คุณต้องการได้ โดยใช้ Extension ได้เกือบทุกแบบ
- ข้อเสนอขอธีมทั้งแบบพรีเมี่ยม และ แบบฟรีมากมาย
จุดเด่น:
- สร้างร้านค้าได้ฟรี ยกเว้น ค่าบริการเว็บ Hosting ที่คุณต้องจ่ายเอง
- คุณสามารถปรับใช้ได้ง่าย ถ้าคุณมีประสบการณ์กับ WordPress อยู่แล้ว
- มีเอกสารการเรียนรู้มากมายสำหรับผู้ใช้ นอกจากนี้คุณสามารถติดต่อทีมงานที่อยู่เบื้องหลังโครงการได้หากมีคำถามเพิ่มเติม
- ใช้งานร่วมกับ Google Analytics ได้โดยใช้ Extension
- มีการสนับสนุน SSL แต่คุณต้องมีใบรับรองของคุณเอง
จุดด้อย:
- หากคุณไม่ได้ใช้ WordPress คุณจำเป็นต้องเรียนรู้การใช้งานทั้งสองแพลตฟอร์มใหม่
- ธีม และ ค่าใช้จ่าย Extension ที่มีสามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วมาก
Magento
ในขณะที่ WooCommerce พยายามที่จะเสนอตัวเป็นโซลูชันสำหรับชุมชน แต่ Magento กลับเดินหน้าใส่เกียร์สู่กลุ่มบริษัทมากขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตามนั่นไม่ได้หมายความว่าธุรกิจขนาดเล็กจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากฟังชั่นก์ของมันเลย เพราะอย่าลืมว่า Magento เองก็มีทั้ง Community Edition แบบฟรี ซึ่งมีพลังมากมายมหาศาลในตัวอยู่แล้ว และ Enterprise Edition สำหรับการทำงานของบริษัทขนาดใหญ่อยู่ด้วยเช่นกัน แต่สำหรับการเปรียบเทียบนี้เราจะเน้นแค่คุณลักษณะของ Community Edition เท่านั้น
ฟีเจอร์หลัก:
- รองรับสินค้าได้ไม่จำกัดจำนวน และมากเท่าที่แพลตฟอร์มที่ Host ด้วยตัวเองจะทำได้
- มาพร้อมกับการสร้างธีมและระบบเลย์เอาท์ของตัวเอง
- มี API ที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับโซลูชันของบุคคลที่สามได้
- มีอินเทอร์เฟซสำหรับผู้ดูแลระบบ และ เครื่องมือสร้างสินค้าที่ชาญฉลาดมาก
จุดเด่น:
- มันถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ Magento อาจไม่มีปัญหาในการจัดการร้านค้าขนาดใหญ่ได้เลย ตราบใดที่Hostของคุณสามารถจัดการกับขนาดพื้นที่ได้
- ผู้ซื้อสามารถตรวจสอบการชำระเงินได้เร็วขึ้นด้วยกระบวนการที่คล่องตัว นอกจากนี้การชำระเงินสำหรับผู้เยี่ยมชมจะเปิดขึ้นโดยใช้ค่าเริ่มต้นได้ด้วย
- การทำงานร่วมกับ PayPal, Authorize.Net และ Braintree โดยตรง
จุดด้อย:
- แลดูจะให้ความสำคัญกับนักพัฒนาระบบมากกว่าผู้ใช้ทั่วไป จึงค่อนข้างเป็นเรื่องซับซ้อนที่จะเรียนรู้ได้เอง
- Enterprise Edition มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงมาทีเดียว แต่คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นเพราะตลาดเป้าหมายของพวกเขาที่อยู่ในระดับสูงเสียส่วนใหญ่
บทสรุป
หากจะต้องเลือกผู้ชนะในมุมที่เหมาะกับผู้ใช้งานมือใหม่ คำแนะนำจากเราก็คงต้องเป็น WooCommerce อย่างแน่นอน เพราะมันง่าย สะดวกสบาย และรวดเร็วทันใจ ซึ่งประสบความสำเร็จในด้านนี้
โดยวัดจากผลข้อมูลการ ใช้ CMS จากทั่วโลก พบว่า จำนวนผู้ใช้งาน Word press หรือ WooCommerce สูงถึง 409,554 โดเมน ในขณะที่ Magento มีผู้ใช้งานเพียง 99,372 โดเมน เท่านั้น ต้องขอบคุณที่มันมีอุปสรรคอยู่ไม่มากนักสำหรับการเริ่มต้นใช้งาน E-Commerce